และแล้วการปรับครม. จาก “ประยุทธ์ 2/3” ไปสู่ “ประยุทธ์2/4” ก็ได้ข้อยุติเสร็จสิ้นลง และคาดว่าจะพอดิบพอดีกับที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้บอกกับสื่อเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะรีบปรับครม.ให้เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้
เพราะล่าสุด ดูเหมือนว่าคลื่นลม ที่เคยคาดการณ์กันว่า จะโหมรุนแรงกระแทกใส่ทั้งพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคใหญ่ ที่มีหลายคนต้องการตำแหน่งรัฐมนตรี ไปจนถึงรัฐมนตรีเดิมที่มีเก้าอี้นั่งอยู่แล้ว ก็หวังที่จะได้ “เปลี่ยนกระทรวง” ขยับขึ้นมานั่งเก้าอี้ “ว่าการฯ”
แต่สุดท้ายแล้ว พรรคพลังประชารัฐ กลับได้รายชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรี” ไปแล้วด้วยกัน2คนคือ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” ส.ส.สิงห์บุรี และ “ตรีนุช เทียนทอง” ส.ส.สระแก้ว และดูเหมือนว่าแรงกระเพื่อม จะนิ่งสงบอย่างน่าประหลาดใจ !
ทั้งที่ก่อนหน้านี้หากย้อนกลับไปจะพบว่า ภายในพรรคพลังประชารัฐซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มการเมืองที่มากหน้าหลายตา และที่สำคัญไปกว่านั้นยังมีบางกลุ่มที่ประวงค์จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเอาไว้ครอบครอง เช่นกัน
อย่างไรก็ดี การที่มีชื่อ ตรีนุช ผุดขึ้นมาว่าจะได้รับเก้าอี้ใหญ่ ถึง “รัฐมนตรีว่าการฯ” กระทรวงใด กระทรวงหนึ่งนั้น อาจมี “คลื่นใต้น้ำ” แทรกขึ้นมาให้พอได้เห็น เพราะอย่าลืมว่า ชื่อของตรีนุช นั้นโลว์โปรไฟล์มาโดยตลอด
แต่เหตุผลที่ถูกตั้งข้อสังเกตคือการที่เป็นคนของบ้านเทียนทอง เป็นหลานสาวของ “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง ซึ่ง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีความสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนายทหาร
อย่าลืมว่า ในพรรคพลังประชารัฐเอง ยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่เป็นทั้งรัฐมนตรีช่วยฯ ที่หวังจะได้ขึ้นเก้าอี้ใหญ่ รวมถึง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ อย่าง “อนุชา นาคาศัย” ในฐานะเลขาธิการพรรคเอง ก็ยังไม่ได้ขยับขึ้นไปนั่งเก้าอี้ว่าการฯ โดยที่อนุชา นั้นยังมีแบคอัพอย่าง “กลุ่มสามมิตร” ที่เกาะกันอยู่เหนียวแน่น โดยมี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม เป็นแกนนำกลุ่ม
ดังนั้นจะเกิดคำถามหรือปฏิกริยาตามมาจากกลุ่มสามมิตร หรือไม่เมื่ออนุชา ไม่ได้ขยับขึ้นว่าการฯ แต่กลับมีชื่อตรีนุช ผุดขึ้นมาแทน นอกจากนี้เมื่อมองไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการปรับเพียง 1เก้าอี้ตามโควต้าพรรคโดยพรรคเสนอชื่อ “สินิตย์ เลิศไกร” ส.ส.สุราษฎร์ธานี 5 สมัย ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก “บัญญัติ บรรทัดฐาน” แกนนำของพรรค
ถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนสเปคไปจากเดิมที่เปิดกว้างให้เป็น โควต้าของภาคใต้ แต่สุดท้ายได้มีปรับสูตรใหม่ มาเคาะชื่อ 5รายจากคุณสมบัติการเป็นส.ส.5 สมัยของภาคใต้ ทั้งนี้มีชื่อ “ประกอบ รัตนพันธ์” ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับสินิตย์ แต่เมื่อการตัดสินใจสุดท้าย พรรคไฟเขียวให้กับสินิตย์ เท่ากับว่า จุรินทร์ และแกนนำในพรรค เปิดทางให้กับคนที่ได้รับการสนับสนุนจากบัญญัติ
นอกจากนี้ยังน่าสนใจว่า พรรคประชาธิปัตย์เลือกปรับเพียง 1 เก้าอี้ เพื่อลดความวุ่นวาย และความขัดแย้งภายในพรรคให้มากที่สุด โดยเฉพาะต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้เคยมีแรงกดดันไปยังจุรินทร์ ให้เปลี่ยนตัว “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” ออกจากเก้าอี้รมช.ศึกษาฯ เพราะถือว่า เป็นการตอบแทนที่เหมาะสมทั้งตำแหน่งและระยะเวลาแล้ว
แต่สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อว่าที่รัฐมนตรี เพียงรายเดียว คือสินิตย์ เพื่อยุติและปิดทุกช่องทางที่จะนำมาซึ่งความแตกแยกโดยใช่เหตุ
ทั้งนี้ คลื่นลมที่จะเกิดขึ้นไล่หลังการปรับครม. ยังต้องรอลุ้นกันไปจนกว่าโฉมหน้ารัฐมนตรีคนใหม่ จะปรากฎออกมาสู่สาธารณะ เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมาอย่างเป็นทางการ !