เผยแพร่:
ปรับปรุง:
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – ฝุ่นตลบอบอวลยิ่งกว่า PM2.5 ตามเทศกาล “ปรับ ครม.”
บรรดา “นักวิ่ง” ออกตัวกันตั้งแต่ก่อนไก่โห่ กับไฟต์บังคับ 3 รัฐมนตรี ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ – พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ – ถาวร เสนเนียม ติดบ่วงกรรมคดีชุมนุม กปปส. ต้องโทษจำคุก เก้าอี้หลุดอัตโนมัติ แบบไม่ได้เตรียมใจล่วงหน้า
พลันที่ 3 เก้าอี้ “รมว.ศึกษาธิการ-รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม-รมช.คมนาคม” ว่างลง ทำเอา “กองแช่ง” ในหมู่มวลพวกเดียวกัน เบื้องหน้าทำทีเห็นใจ “ก๊วนนกหวีด กปปส.” เบื้องหลังแทบเก็บอาการลิงโลดไม่อยู่
เปรียบเห็นภาพ ศพ “3 อดีตรัฐมนตรี” ยังไม่ทันเน่า แมลงวันอย่าง “รมต.วอนนาบี” พวกกระสันอยากมีตำแหน่งแห่งที่ชิงสับฝีเท้ากันอุตลุด
วิ่งให้ตายอย่างไร ต้องไม่ลืมว่า อำนาจปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอชื่อว่าที่รัฐมนตรีอยู่ในอาณัติ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “แต่เพียงผู้เดียว”
ในวงการเปรียบกันว่า การปรับ ครม. แต่ละครั้ง ไม่ต่างจาก “เก้าอี้ดนตรี” ที่ผู้เล่นต้องหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน ตามกติกาสากล กำหนดที่นั่งต้องมีไว้ไม่พอผู้เล่น มีคนได้นั่ง ก็ต้องมีคนวืด
จับอาการ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ เหมือนจะไม่อยากขยับให้เกิดแรงกระเพื่อมเท่าไร ด้วย “อำนาจต่อรอง” ในรัฐบาลไม่เหมือนเดิม จาก “พรรคเบอร์ 2” ร่วงหล่นมาเป็นเบอร์ 3 แถมเทียบปอนด์ปอนด์ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ก็ตุน ส.ส.งูเห่า ไว้เต็มสภาฯ จนที่นั่ง ส.ส.แซงไปไกล
โควตา 7 เก้าอี้รัฐมนตรีที่ได้เท่ากันอยู่ก็เป็นคำถามไม่น้อย
ยิ่ง “ค่ายสะตอ” ออกอาการเสื่อม ไปพังพาบคาถิ่นในสนามเลือกตั้งซ่อม “เมืองคอน” นครศรีธรรมราช เขต 3 ให้กับ “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ก็ยิ่งหวั่นไหวในอำนาจต่อรองของตัวเองไปกันใหญ่
ข่าวกระพือหนาหูว่า มีขาใหญ่จ้อง “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นว่าการอยู่ตาเป็นมัน แต่ยังดีที่ “เสี่ยต่อ” เดินเกมระดับเซียน โร่ไปแพ็คแน่นกับทาง “เสี่ยหนู-เสี่ยโอ๋” อนุทิน ชาญวีรกูล – ศักดิ์สยาม ชิดชอบ หัวหน้าและเลขาฯ พรรคภูมิใจไทย ขอกันตรงๆ “ลื้ออย่าขอ (เก้าอี้) เพิ่ม ไม่งั้นอั๊วซวย” พร้อมดีลยื่นหมูยื่นแมว “รมช.พาณิชย์-รมช.คมนาคม”
พูดคุยลงตัว แจ้ง “นายกฯ ตู่” เพื่อทราบ ทำให้ “ค่ายสะตอ” ยังรักษาโควตาเก้าอี้ไว้ได้เท่าเดิม พร้อมกับรักษากระทรวงเกรดเอ 4 กระทรวง “พาณิชย์-เกษตรฯ-สาธารณสุข-คมนาคม” ไว้ได้เช่นกัน
รายของพรรคภูมิใจไทย ศูนย์รวมอำนาจอยู่ที่หัวหน้า-เลขาฯ และ “ครูใหญ่” อย่าง เนวิน ชิดชอบ เบ็ดเสร็จ ลูกพรรคไม่มีงอแงแตกแถว น่าจะขยับไม่มาก รูปเกมการเมืองยัง “กุนซือเนวิน” อาจแค่เปลี่ยนเอา “เสี่ยโรงแป้ง” วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล ขาใหญ่โคราช ออกมาพัก แล้วขยับ “เสี่ยลือ” บุญลือ ประเสริฐโสภา ขาใหญ่ราชบุรี อดีต รมช.ศึกษาธิการ มาเสียบที่ รมช.คมนาคม
ถึงหลุดตำแหน่งรัฐมนตรี แถมลาออกจาก ส.ส.แล้วด้วย “เฮียวีรศักดิ์” อาจมีบ่นเสียดายกระปอดกระแปดบ้าง แต่ก็รู้ตัวว่าไม่ค่อยเหมาะกับ “เวทีระดับชาติ” เป็นรัฐมนตรีมาปีกว่าถือว่าคุ้มค่า
กลับไปช่วยงาน “หลังบ้าน” ที่เพิ่งเข้าป้ายนายก อบจ.นครราชสีมา น่าจะสนุกกว่า
โจทย์ยากขึ้นมาหน่อยที่ “ค่ายสะตอ” ที่มีผู้เสนอตัวขอ “เสียสละ” ไปเป็น รมช.แทน “นายหัววอน” นับ 10 ชีวิต ก่อนร่อนตะแกรงแล้วเหลือ 3 หน่อ ได้แก่ ประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช, สินิตย์ เลิศไกร ส.ส.สุราษฎร์ธานี และ นริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง ส่งให้ที่ประชุมกรรมการบริหาร ร่วม ส.ส.ร่วมกันเคาะ
ดูแล้วน่าจะเบียดกันระหว่าง “สินิตย์-นริศ” อยู่ที่ว่า เก้าอี้ของ “ถาวร” เป็นโควตา กปปส. หรือโควตาพรรค ถ้าเป็นอย่างแรกก็เสร็จ “สินิตย์” จากเมืองหอยใหญ่ ถ้าเป็นของพรรคก็ไม่พ้น “นริศ” ส.ส.เมืองลุง ที่ซี้ปึ้กสายตรง “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค
ที่ง่อนๆ แง่นๆ คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รมช.ศึกษาฯ ที่คนในพรรคมองว่า “เกินแกง” ควรพักผ่อนบ้าง แต่รอบนี้น่าประคองตัวรอดไปอีกงวด
วุ่นวายสุดไม่พ้น “ค่ายลุงป้อม” ที่อุดมไปด้วยสารพัดก๊วนแก๊ง เสือสิงห์กระทิงแรด จ้องเล่นการเมืองต่อรองทุกจังหวะ
แต่ต้องไม่ลืมว่า “นายกฯ ตู่” ใช้วิธี “วางตัว” ไม่ให้ “นักวิ่ง” เข้าหาทางตรงมาตลอด
พวกก็เลยต้องอ้อมไปพึ่ง “บารมีหลวงพ่อป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ถือสิทธิ์ “พี่ใหญ่” พอโน้มน้าวใจ “น้องเลิฟ” ได้บ้าง
โดยเฉพาะกลุ่ม “3 ช่วย” ทั้ง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์, “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน และ “เฮียสันติ” สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งรายล้อมรอบตัว “ลุงป้อม” และเคลื่อนไหวอย่างแรงภายในพรรค ด้วยต้องการขยับ “อัปเกรด” เก้าอี้ตัวเองเป็น “รัฐมนตรีว่าการ”
แต่ในมุมมองของ “ลุงตู่” มองว่า เล่นการเมืองล้ำเส้น หากหวั่นไหวตามให้ตำแหน่งใหญ่โตขึ้นจะทำให้เสียการปกครอง จึงโชว์ภาวะผู้นำเลือกที่จะ “มองข้าม” เหล่านักวิ่งในรอบนี้
ที่สุดลงตัวที่ชื่อ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากเมืองสิงห์ จ.สิงห์บุรี รองเลขาธิการพรรค และ “หนูเหน่ง” ตรีนุช เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว ยี่ห้อ “หลานป๋าเหนาะ” ที่ถูกเสนอชื่อไปจะเข้าไปเสียบใน “ตำแหน่งที่ว่าง” อยู่เท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม
โดย “ชัยวุฒิ” ที่เป็นสายตรง “ลุงป้อม” และยังได้รับการผลักดันจาก “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ที่ทำงานร่วมกันในวิป ได้รับการวางตัวเป็น รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
ส่วน “ตรีนุช” ได้ขึ้นเก้าอี้ใหญ่ “เสมา 1” รมว.ศึกษาธิการ ในการประเดิมเป็นเสนาบดีหนแรกในชีวิต ด้วยอานิสงส์จากการที่ “ตระกูลเทียนทอง” มีความสัมพันธ์อันดีระหว่าง “พี่น้อง 3 ป.” นายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ทั้งพล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ตั้งแต่ครั้งยังรับราชการทหารที่ จ.ปราจีนบุรี และแยกออกมาเป็น จ.สระแก้ว ในปัจจุบัน
แต่ “จุดชี้ขาด” น่าจะเป็นเพราะ “ตรีนุช” และครอบครัวมีความสัมพันธ์อันดีกับ “อาจารย์น้องนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกฯ ที่ให้ความสำคัญกับ “งานการศึกษา” มาตั้งแต่ยุค “รัฐบาล คสช.”
เอาเป็นว่า “ศึกใน” อย่างการปรับ “ครม.ประยุทธ์ 2/4” ใกล้จบ แบบไม่วุ่นอย่างที่คาด รอแค่การประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ขณะที่ “ศึกนอก” ที่ดูจะกรุ่นๆ กระเทือน “เรือเหล็ก” รัฐบาลประยุทธ์ ก็สร่างซา ทั้ง “ม็อบเด็กน้อย” ที่แกนนำเข้าปิ้งเป็นแถว หรือเหล่า “เซเลปฯชื่อ” กระซวกกันเองยับเยิน ทำเอาแนวรบด้านม็อบที่เคยหวาดหวั่น กลายเป็น “ชิลล์ๆ” ไปอย่างผิดคาด
ถัดมาคิวแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ญัตติแก้ไขมาตรา 256 ประเด็นตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วาระ 3 คาอยู่ในชั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภา นัดหมายจะโหวตกัน 17 มี.ค.64 นี้ ก็มี “คิวแทรก” จากคำวินิฉัยของศาลนัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยสรุปสาระคัญมีว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลง “ประชามติ” เสียก่อน และเมื่อจัดทำ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลง “ประชามติ” เห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง
จริงๆ ก็เป็นไปตามตัวบทรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่น่าจะมีการยื่นตีความตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
แต่คำถามตามมาถึง “วาระ 3” ที่คาอยู่ จะลงมติได้หรือไม่ มุมมองของ “ฝ่ายค้าน” เบื้องต้นมองว่า ยังสามารถลงมติได้ ด้วยในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหมายถึง “การร่างรัฐธรรมนูญใหม่” ไม่ได้หมายรวมถึงการแก้ไขมาตรา 256 ที่นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
แต่เชื่อเหลือเกินว่า “ฝ่ายรัฐบาล” โดยพรรคพลังประชารัฐ และ “พรรค ส.ว.” ที่ตั้งแง่การแก้ไขอยู่เป็นทุน จะตีความว่า “วาระ 3” ก็เป็นการเปิดประตูให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ดังนั้นก่อนลงมติ ต้องออกไปทำ “ประชามติ” เสียก่อน
ตามแนวนี้พิเคราะห์ได้ว่า การลงมติ “วาระ 3” คงต้อง “ชะลอ” ออกไปอีกสักระยะ หรือหากจะดึงดันโหวตกันในวันที่ 17 มี.ค.จริงๆ ก็เชื่อเหลือเกินว่า จะถูก “คว่ำ” อย่างไม่เป็นท่า แล้วโยนกลองไปว่า ก็ไปทำประชามติให้เรียบร้อยก่อน ค่อยว่ากันใหม่
ถือเป็นการวางหมากแบบ “เซียนเหยียบเมฆ” ของ “ฝ่ายผู้มีอำนาจ” ที่ยื้อยุดเตะถ่วงมาทุกขั้นตอน จนกระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เคยร้อนแรงซาลงจนแทบมอด
พร้อมเปิด “ประตูหนีไฟ” ไว้ ยามที่มีการเรียกร้อง “รัฐธรรมนูญใหม่” ก็รับลูกไปว่ากันที่ “ประชามติ” คล้ายกับเลือกตั้งทั้งประเทศ แถมมีให้แก้มือ ทั้งก่อน-หลัง 2 รอบ
วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญรอไปก่อนแบบยาวๆ หมดรัฐบาลสมัยนี้อีกราว 2 ปีไม่รู้จะได้เริ่มแก้ไขหรือยัง.