ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดหัวว่าว หมู่ที่ 4 ต.บางมัญ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ยังพบเชิงตะกอนเผาศพสมัยโบราณ ซึ่งมีลักษณะเป็นฐานก่ออิฐสูงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบันได 4 ขั้น โดยเว้นตรงกลางเอาไว้ใส่ฟืน และนำเส้นเหล็กมาวางขวาง จำนวน 3 เส้น เพื่อเป็นที่รองรับโลงศพบนเชิงตะกอน ก่อนจะทำการจุดไฟที่กองฟืนใต้โลง ซึ่งวัดหัวว่าวยังคงอนุรักษ์เอาไว้
โดยเชิงตะกอนเผาศพสมัยโบราณนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระครูวิชาญ พัฒนกิจ หรือ หลวงพ่อบุญชู ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ประมาณปี 2507 โดยหลวงพ่อบุญชูเป็นพระที่โด่งดัง ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดเกจิของจังหวัดสิงห์บุรี เป็นพระสงฆ์ที่คงวิชา ทั้งพระเวทย์วิทยาคม และสมถวิปัสสนากรรมฐาน โดยหนึ่งในพระเวทย์วิทยาคมที่ท่านชำนาญเป็นพิเศษคือวิธีการทำผงอิทธิเจ แบบพิเศษที่ท่านลบผงเอง พร้อมกับใส่กระดูกผีเจ็ดป่าช้าลงไปในผงอีกด้วย ผงของท่านจึงเข้มขลัง แรงด้วยพุทธคุณ
ทั้งนี้ในสมัยก่อนเคยร่ำลือกันว่า วัดหัวว่าว เป็นวัดที่มีผีดุที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรีอีกด้วย นับเป็นเวลาเกือบ 60 ปี ที่เชิงตะกอนของวัดหัวว่าว ได้ผ่านการใช้งานเผาศพมาหลายพันคน ถึงแม้ในเวลาต่อมาจะมีการสร้างเมรุเผาศพใหม่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทุบทิ้ง ทางวัดยังคงอนุรักษ์ไว้ให้ญาติโยมได้ดูว่าเชิงตะกอนเผาศพในสมัยโบราณนั้นมีความเป็นมาอย่างไร และยังมีรูปปั้นที่สื่อให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิต เช่น รูปปั้นการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย อีกทั้งยังมีรูปปั้นพระพุทธเจ้า พระพุทธสาวก และรูปปั้นเปรต ซึ่งยังคงสภาพที่ดีถึงจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน
อย่างไรก็ตาม วัดหัวว่าวยังอนุรักษ์ต้นยางกว่า 80 ต้น มีทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ปะปนกันไป โดยเฉพาะต้นใหญ่ขนาดใหญ่ประมาณ 4-5 คนโอบ มีจำนวนหลายสิบต้น อายุกว่าร้อยปี ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นแต่ก็แฝงไปด้วยความวังเวง เพราะที่บริเวณนี้เป็นป่าช้าเก่านั่นเอง
นายธงชัย พวงแก้ว อายุ 59 ปี ชาวบ้าน ต.บางมัญ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นสัปเหร่อมากว่า 20 ปี เล่าว่า สถานที่แห่งนี้เป็นป่าช้าเก่า เมื่อมีคนเสียชีวิตก็จะนำมาประกอบพิธีที่บริเวณนี้ โดยก่อนที่จะสร้างเชิงตะกอนนี้เวลาเผาศพก็จะใช้การนำศพมาวางไว้บนกองฟืนและทำการเผา จึงทำให้ก่อภาพศพอุจาดตา แต่หลังจากที่มีการก่อสร้างเชิงตะกอนเผาศพก็ทำให้ภาพเหล่านี้หายไป มาได้เห็นอีกทีตอนเสร็จพิธีเหลือแค่กองเถ้าอังคารกับเศษกระดูกไม่กี่ชิ้น
“สมัยก่อนคนจะนิยมเดินทางกันทางเรือ ล่องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงช่วงหน้าวัดหัวว่าวจะเป็นทางโค้ง บางครั้งมีเรือล่ม มีคนเสียชีวิตก็จะนำมาเผาที่วัดนี้ ซึ่งเมื่อก่อนบรรยากาศในบริเวณนี้ยามค่ำคืนหรือตอนเช้ามืดชาวบ้านจะต้องใช้สัญจรผ่านเพื่อไปค้าขายหรือไปซื้อของที่ตลาด บางคนก็เจอเรื่องลี้ลับน่ากลัว จากนั้นก็เล่าเรื่องราวต่อๆกันมาจนปัจจุบัน แต่ตอนนี้นั้นการเดินทางมีถนนชาวบ้านจึงไม่ต้องผ่านเข้ามาในวัดแล้ว แต่ถึงอย่างไรในเวลาพลบค่ำก็ไม่ค่อยจะมีใครกล้าผ่านเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้ อาจเป็นเพราะความมืดครึ้มของต้นไม้ที่ปกคลุมทำให้อากาศจะเย็นกว่าตรงที่อื่นเลยดูวังเวง และยังมีชาวบ้านละแวกวัดพูดกันในเรื่องของการพบเจอสิ่งลี้ลับ ถึงแม้ว่าเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางลัดระหว่างหน้าวัดไปหลังวัด แต่ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้เส้นทางอ้อมออกไปนอกวัดแทน ถึงจะไกลหน่อย แต่ก็อุ่นใจกว่า”
โดย ณัฏฐนารา ปานมี ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สิงห์บุรี